Diacetyl and ALDC Enzyme
Diacetyl คืออะไร ทำไมเราจึงควรรู้จักและทำความเข้าใจกระบวนการเกิด Diacetyl ในเบียร์ รวมทั้งวิธีป้องกันไม่ให้เกิดกับผลิตภัณฑ์ของเรา
ใครเคยชิมเบียร์แล้วสัมผัสได้ถึงรสคล้าย ๆ เนย popcorn หรือ butterscotch คุณอาจจะเคยสัมผัสกับรสชาติของ Diacetyl ไปแล้ว Diacetyl ถือเป็น off-flavor ชนิดหนึ่งในเบียร์หลายสไตล์ ซึ่งถูกพูดถึงเสมอเพราะมีระดับ Flavor Threshold ที่ต่ำมาก (เกิดเพียงนิดเดียวก็สัมผัสได้ถึงรสในเบียร์)
*ทั้งนี้ Diacetyl เพียงเล็กน้อยในเบียร์บางสไตล์ ไม่ถือว่าเป็น off-flavor นะครับ
Diacetyl คือหนึ่งในกลุ่มสารที่มีรสชาติซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการหมักตามธรรมชาติ เรียกว่า Vicinal Diketones (VDKs) โดยสารประกอบ 2,3-butanedione หรือ Diacetyl มีค่า Flavor threshold ที่ต่ำที่สุด กลุ่ม VDKs โดยเฉลี่ยประมาณ 0.1mg/L สารอีกชนิดในกลุ่ม VDKs ที่มักได้ยินคู่กันคือ 2,3-pentanedione เป็นสารที่ให้รสคล้ายน้ำผึ้ง แต่สารตัวนี้มี Flavor threshold ที่สูงกว่า Diacetyl ถึง 10 เท่า ต้องมีความเข้มข้นในเบียร์ถึง 1.0mg/L จึงจะสัมผัสได้ถึงรสชาติ จึงไม่ค่อยมีปัญหาเท่า Diacetyl
เบียร์ที่สัมผัสรสชาติของ Diacetyl ได้ง่ายจะเป็นเบียร์จำพวกที่มีรสชาติอ่อน ๆ เช่น ตระกูล Lager จากการทดลองวัดค่า Diacetyl Flavor threshold ของเบียร์สไตล์ American Lager จะมีค่าเฉลี่ยประมาณ 0.04mg/L เท่านั้นเองครับ เรียกว่าน้อยมาก ๆ นอกจากนี้ ธรรมชาติของ Lager ที่หมักอุณหภูมิต่ำ หากไม่ทำ Diacetyl rest ช่วงท้ายของการหมัก อาจจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีค่าความเข้มข้นของสารประกอบ VDKs เกินค่า flavor threshold ได้ง่าย
ในเบียร์สไตล์อื่น ๆ ปัญหา Diacetyl จะพบได้ไม่บ่อยเท่า Lager เนื่องจากธรรมชาติของการหมักอุณหภูมิที่สูงกว่าสไตล์ Lager ทำให้โอกาสที่ยีสต์จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์นั้นมากกว่า และโดยทั่วไปยังมีรสชาติที่เข้มข้นกว่า ทำให้ค่าเฉลี่ย Diacetyl Flavor threshold ของเบียร์สไตล์อื่น ๆ โดยทั่วไปจะสูงกว่า Lager
นอกจากนี้ Diacetyl นั้นอาจเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อแบคทีเรียบางกลุ่ม เช่น Lactobacillus หรือ Pediococcus โดยทั่วไปมักเกิดจากความไม่สะอาดของอุปกรณ์การหมัก ระบบที่มีจุดเชื่อมต่อหลายจุด ผิวไม่เรียบ ต้องระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ ระบบเสิร์ฟเบียร์ อาทิ สายส่งเบียร์ ข้อต่อ ก๊อก ที่ไม่ได้รับการดูแลล้างทำความสะอาดอย่างเหมาะสมเป็นประจำ
ในโรงเบียร์มาตรฐาน จะมีการตรวจสอบค่าความเข้มข้นของสารประกอบ VDKs ก่อนการบรรจุเบียร์ลงภาชนะบรรจุ หากค่า VDKs ยังสูงเกินไป ก็จะรอเวลาให้ยีสต์ในถังซึมซับสาร VDKs กลับเข้าสู่เซลและเปลี่ยนเป็นสารประกอบไร้กลิ่นรส จนค่า VDKs อยู่ในระดับที่เหมาะสม หรือใช้กระบวนการบางอย่างเพื่อลดระดับความเข้มข้นของ VDKs ก่อนการบรรจุต่อไป
การคุมปริมาณ Diacetyl ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำได้หลายวิธี
- คุม Pitching rate ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ต่ำจนเกินไป เพื่อที่ยีสต์จะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาก Pitching rate ต่ำเกิน จะทำให้ยีสต์เกิดความเครียด เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปริมาณ Diacetyl หลงเหลืออยู่ในผลิตภัณฑ์มากขึ้น
- ทำยีสต์ Starter เพื่อให้มั่นใจว่ายีสต์แข็งแรงและพร้อมที่จะเริ่มการหมักได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์
- จัดการให้ยีสต์มีปริมาณอาหารและอ๊อกซิเจนเพียงพอต่อกระบวนการหมัก เช่นการเติม Yeast nutrient และการเพิ่มอ๊อกซิเจนใน wort ให้เพียงพอ (โดยเฉพาะ High gravity beer) ช่วยให้การหมักเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ลดโอกาสที่ยีสต์จะหยุดทำงานก่อนการหมักเสร็จ
- การหมักอุณหภูมิต่ำเกินไป ทำให้ยีสต์ทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงมักเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณ Diacetyl หลงเหลืออยู่ในผลิตภัณฑ์เกินค่า Flavor Threshold โดยทั่วไปมักเกิดกับเบียร์ประเภท Lager เพราะธรรมชาติของสไตล์นี้ หมักที่อุณหภูมิต่ำ เราสามารถแก้ไขได้โดยการทำ Diacetyl rest หรือการเพิ่มอุณหภูมิช่วงท้ายการหมักขึ้นเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นให้ยีสต์ทำการดูดซับกลิ่นรสไม่พึงประสงค์กลับไปจนอยู่ในระดับที่เหมาะสม
- อุณหภูมิการหมักที่เปลี่ยนแปลงบ่อยไม่คงที่ หรือการเปลี่ยนอุณหภูมิการหมักอย่างกระทันหัน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง เช่น หากเราต้องการทำ Cold crashing เราควรค่อย ๆ ปรับอุณหภูมิให้ต่ำลงเป็นจังหวะ หากเราปรับลงเร็วเกินไป อาจส่งผลให้ปริมาณ Diacetyl ในผลิตภัณฑ์มีสูงขึ้น เนื่องจากยีสต์เกิดการช็อคจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็วทำให้ไม่สามารถดูดซับสารประกอบกลุ่ม VDKs ไปได้อย่างสมบูรณ์
- ให้เวลายีสต์ให้เพียงพอในการดูดซับสารประกอบกลุ่ม VDKs และเปลี่ยนเป็นสารไร้กลิ่นรส ไม่ควรรีบถ่ายเบียร์ออกจากตะกอนยีสต์เร็วเกินไป โดยทั่วไปควรปล่อยให้เบียร์สัมผัสกับยีสต์ต่ออีกประมาณ 2 วันหลังเบียร์ถึง final gravity
- การใช้ ALDC Enzyme ช่วยควบคุมปริมาณ Diacetyl ให้อยู่ในระดับต่ำ
- ใช้เทคนิค Krausening เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหมักอีกครั้ง
*สำหรับบางท่านที่กลัวเรื่อง Yeast Autolysis โดยทั่วไปเป็นกระบวนการเกิดช้ากว่ามาก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด Yeast Autolysis อาทิ เบียร์ค้างอยู่กับยีสต์ 2-3 เดือนขึ้นไป, เกิดการช็อคยีสต์อุณหภูมิเปลี่ยนเร็ว, แรงดันสูงกว่าปกติจากรูปทรงของถังหมักแบบ Conical (กรณีนี้มักเกิดกับโรงเบียร์ที่มีถังหมักขนาดใหญ่ แรงดันที่ก้นถังหมักสูง)
ALDC Enzyme ตัวช่วยควบคุมปริมาณ Diacetyl
ALDC Enzyme นั้นถูกใช้อย่างแพร่หลายในโรงเบียร์ โดยเอนไซม์จะทำหน้าที่เปลี่ยนสารตั้งต้น alpha-acetolactate ที่ทำให้เกิด Diacetyl ไปเป็นสารที่ไร้กลิ่นรส Acetoin ซึ่งการหมักตามธรรมชาติที่สมบูรณ์ ยีสต์ก็จะดูดซับ Diacetyl เข้าไปในเซลตอนท้ายแล้วเปลี่ยนเป็น Acetoin ที่ไร้กลิ่นรสเช่นกัน เพียงแต่กระบวนการช้าและต้องการสภาพแวดล้อมการหมักที่สมบูรณ์ หากยีสต์ดูดซับ Diacetyl ได้ไม่มากพอ ปริมาณ Diacetyl จะเกิน flavor threshold ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นรสแบบเนยในเบียร์
วิธีการใช้ ALDC Enzyme
หลายท่านสอบถามมาเกี่ยวกับปริมาณการใช้และช่วงเวลาที่ควรใส่เข้าไปใน wort ข้อมูลตามที่ผู้ผลิต Kerry Biomatex ALDC Enzyme แจ้งไว้นะครับ
ปริมาณการใช้งาน ใช้เพียง 0.005 – 0.05 กรัม/ลิตร หรือ 0.1 – 1 กรัม/20 ลิตร
ใส่ตอนไหน?
- ใส่พร้อมการใส่ยีสต์ ตอนที่ wort เย็นแล้ว (ก่อนหมัก)
- กรณี Dry hopping ปริมาณมาก ใส่พร้อม dry hopping ด้วยก็ได้ ช่วยป้องกัน Diacetyl จากการเกิดปฏิกิริยา Hop creep
*การใส่หลังจากยีสต์เริ่มหมักไปแล้ว หรือ dry hopping ไปแล้วหลายวัน Enzyme อาจทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจาก ALDC Enzyme ช่วยในกระบวนการเปลี่ยนสารตั้งต้น alpha-acetolactate ไปเป็น Acetoin หากสารตั้งต้นเปลี่ยนไปเป็น Diacetyl แล้ว ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย ALDC Enzyme ต้องอาศัยการหมักที่สมบูรณ์แทน
การใช้เทคนิค Krausening ช่วยให้เกิดการหมักอีกครั้ง
การแก้ไขฉุกเฉินในกรณีที่เราทำบางอย่างผิดพลาดตามสาเหตุที่กล่าวมาทำให้ยีสต์หยุดทำงานก่อนเวลาอันควร เราอาจจะใช้วิธีที่เรียกว่า “Krausening” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปใน Germany เพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้
Krausening คือกระบวนการนำยีสต์บางส่วนจากถังหมักเบียร์ที่กำลังอยู่ในช่วง High Krausen หรือยีสต์กำลังทำงานอย่างเต็มที่ ฟูเป็นชั้นฟองด้านบน (โดยทั่วไปจะใช้เบียร์สูตรเดียวกัน) กระบวนการทำคือเราจะถ่าย wort บางส่วน ของถังหมักที่กำลัง active ไปใส่ในเบียร์ที่เราต้องการแก้ไข ให้ยีสต์จากถังหมักใหม่ที่กำลัง active อย่างมากช่วยให้เกิดการ Re-start fermentation ดูดซับสารประกอบ VDKs เข้าไปเพิ่มและช่วยให้กระบวนการหมักสมบูรณ์ขึ้น โดยทั่วไปจะถ่ายราว 10-17% ของปริมาตรถังที่เราถ่ายไปใส่
References:
https://www.homebrewersassociation.org/how-to-brew/exploring-the-german-technique-of-krausening
https://bsgcanada.com/wp-content/uploads/2024/03/BSG-Biomatex-L_Full-SS_Digital_2024_Final.pdf
https://www.homebrewersassociation.org/how-to-brew/the-beer-off-flavor-series-diacetyl
https://www.bjcp.org/download/2021_Guidelines_Beer.pdf